Monday, December 13, 2010

ถ้ำแห่งมูลู (ทวีปเอเชีย)


     ใจกลางป่าดิบชื้นร้อนระอุของมาเลเซียใต้สันเขาหินปูนขนาดมหึมา มีคูหาถ้ำที่ใหญ่่ที่สุดในโลก เมื่อนักธรณีวิทยาชาวมาเลเซียได้บันทึกความใหญ่โตโอฬารของถ้ำที่อยู่ใต้สันเขาหินปูนมูลูนั้น เขาเพียงแต่กำลังค้นหาแหล่งมูลนกเพื่อเอามาทำปุ๋ยสำหรับจำหน่าย เขาแทบไม่รู้เลยว่าการบันทึกครั้งแรกนั้นได้นำไปสู่การค้นพบคูหาถ้ำที่ใหญ่ีที่สุดในโลก
     ในค.ศ. 1978 หลังจากพื้นที่ืในรัฐซาราวักบนเกาะบอร์เนียวได้รับการประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติกุนุงมูลู มีการติดต่อให้ทีมนักสำรวจถ้ำชาวอังกฤษค้นลึกลงไปใต้เทือกเขาที่ชุ่มโชกไปด้วยฝน พวกเขาสันนิษฐานว่าถ้ำต่าง ๆ ในนั้นจะต้องใหญ่ตระการตา เพราะเขาหินปูนมีช่องโหว่เว้าอยู่รอบ ๆ  แสดงว่าคงจะต้องถูกน้ำฝนเขตร้อนไหลเซาะเข้าไปกัดกร่อนละลายเนื้อหินมาแล้วชั่วกัปชั่วกัลป์ หนทางเข้าสู่เขตแดนนี้้ก็แสนยากลำบาก มีแต่ชนเร่ร่อนชาวปีนันอาศัยอยู่ สันเขาที่หยักเป็นระลอกขึ้นลงยาว 32 กม. และกว้าง 5 กม.นี้ ทอดตัวอยู่ใต้ไหล่เขาหินชนวนและหินทรายของขุนเขากุนุงมูลู ซึ่งต่อมาได้นำชื่อเขานี้มาเป็นชื่ออุทยาน กว่าจะผ่านกำแพงป่าทึบสูง ลิ่วเข้าไปจนถึงใจกลางสันเขาใหญ่ของเทือกเขา คณะสำรวจถ้ำต้องบุกฝ่าทั้งป่าดงดิบชื้นแฉะหนองน้ำ และดงปลิง



จาก "หุบเขาซ่อนเร้น" ที่ไกลแสนไกล นักสำรวจถ้ำค่อยพบทางเิดินถ้ำที่ลัดเลี้ยวเข้าไปใต้สันเขา และตั้งชื่อถ้ำนี้ว่า "ถ้ำพยากรณ์" จนถึง ค.ศ. 1981 "ถ้ำโชคดี"แล้ว พวกเขาจึงเดินสำรวจเข้าไปในอุุโมงค์ยาวเกือบ 1.6 กม. ตามทางเป็นน้ำตกลดหลั่นและธารน้ำใต้ดิน จนกระทั่งพบคูหาถ้ำกว้างใหญ่มโหฬาร ปัจจุบันรู้จักกันดีในชื่อ คูหาซาราวัก ซึ่งไ้ด้รับการพิสูจน์ยืนยันแ้ล้วว่ามีขนาดใหญ่กว่าถ้ำคาร์ลส์แบดในรัฐนิวเม็กซิโก ซึ่งเคยได้ชื่่อว่าเป็นถ้ำใหญ่ที่สุดในโลกถึงหกเท่า คูหาซาราวักเมื่่อวัดจากจุดต่ำสุด นั้นสูงราว 70 ม. แม้จะสูงเพียงครึ่งหนึ่งของวิหารเซนต์ปีเตอร์ในโรม แต่คูหาถ้ำนี้ก็กว้างขนาดที่วัดจากจุดที่แคบที่สุด ก็ยังกว้างกว่าเซนต์ปีเตอร์สองเท่า และยาวกว่าถึงสามเท่า บนพื้นคูหามีหินก้อนโตเท่าบ้านมากมาย ทำให้ในตอนแรกคณะสำรวจคิดว่าเป็นผนังคูหา ก้อนหินยักษ์เหล่านั้นเป็นอุปสรรคอย่างมากในการคะเนขนาดของคูหาถ้ำจากแสงไฟฉาย ปัจจุบันคณะสำรวจทำแผนที่ถ้ำได้ 26 แห่ง ซึ่งทุกแห่งเืชื่่อมต่อถึงกันเป็นทางคดเคี้ยวใต้เืทือกเขา ยากว่า 200 กม.
ชีวิตสัตว์ที่อาศัยอยู่ใต้พื้นโลกลี้ลับนี้ ก็อัศจรรย์พอ ๆ กับถ้ำเลยทีเดียว เมื่่อใกล้พลบค่ำ ค้างคาวฝูงมหึมาจะบินเป็นสายออกจากถ้ำไปหากินสวนทางกับนกนางแอ่นที่บินกลับไปเกาะนอนเป็นราวอยู่ในโลกมืดแห่งนี้ร่วมกับเหล่าแมงมุมตาบอด ตะขาบพิษ งูขาว และปูโปร่งแสง

ได้นำข้อมูลนี้มาจากหนังสือรีดเดอร์ส ไดเจสท์ "ภูมิทัศน์มหัศจรรย์ของโลก" คู่มือท่องธรรมชาติอันแสนอัศจรรย์